ธ.ก.ส. กับการประหยัดพลังงาน



ที่มา : http://www.baac.or.th/news_list.php?sub_id=1103

ประหยัดพลังงานอย่างไรจึงจะได้ผล?

ปัจจุบันทุกองค์กรหรือส่วนงานไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนได้ให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานกันอย่างเต็มที่และต่อเนื่องโดยเฉพาะรัฐบาลที่ได้เริ่มต้นการรณรงค์การประหยัดพลังงานไปเมื่อวันที่1 มิถุนายน2548  เป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้องที่สุดเลยครับ แต่อย่างไรก็ดีพวกเราที่เป็นคนไทยต้องร่วมกันรณรงค์กันต่อไปอย่าได้หยุดเพื่อประเทศชาติของเราจะได้ขาดดุลการค้าน้อยลงที่สำคัญทำให้เราลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงทำให้เราเหลือเงินมากขึ้น  แต่เราจะประหยัดอะไรดีถึงจะได้ผลต่อเรามากที่สุด  เราจะต้องพิจารณาสิ่งที่เราจะต้องประหยัดก่อนนะครับหลักการประหยัดพลังงานให้แบ่งเป็นลักษณะดังนี้

1. ประหยัดพลังงานไฟฟ้า 

2. ประหยัดพลังงานน้ำมัน

3. ประหยัดน้ำประปา

พลังงานไฟฟ้า

ประหยัดพลังงานไฟฟ้าเราต้องพิจารณาว่ามีอุปกรณ์ไฟฟ้าอะไรบ้างที่เราใช้งานประจำหรือใช้งานบ่อยและนานโดยพิจารณาจากพลังงานไฟฟ้า(Watt)เป็นสำคัญ เพราะยิ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าใดใช้กำลังไฟฟ้ามาก เราต้องพิจารณาให้มากเพราะเราจะเสียค่าใช้จ่ายมากตามไปด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยเราจะไม่ประหยัด เราต้องประหยัดเช่นเดียวกัน นอกจากเราจะพิจารณาเรื่องการใช้งานอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว เราต้องพิจารณาในเรื่องของการดูแลบำรุงรักษาด้วย เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดต้องการการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี จึงจะทำให้เกิดการประหยัดสูงสุดซึ่งเราจะได้นำเสนอต่อไป  สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เราจะต้องพิจารณาในเรื่องการประหยัดพลังงานให้พิจารณาจากตาราง ต่อไปนี้
 
ลำดับที่
อุปกรณ์ไฟฟ้า
พลังงานไฟฟ้าที่ใช้โดยประมาณ(Watt/ชม.)
หมายเหตุ
1
เครื่องทำน้ำอุ่น
3,000-5,500 W

2
เตารีดไฟฟ้า
750-1,000 W

3
หม้อหุงข้าวไฟฟ้า
650 W

4
กระติกน้ำร้อน
650 W

5
กระทะไฟฟ้า
1,000W

6
เตาไมโครเวฟ
650 W

7
เครื่องปรับอากาศ
        9000 BTU
      13000 BTU
     24000 BTU
      36000 BTU
    48000 BTU
    57000- 60000 BTU

650-800 W
1,200 – 1,400 W
 2,200-2,600 W
3,570-4,000 W
4,650 –5,000W
6,000-7,000 W

8
เครื่องถ่ายเอกสาร
1100 W

9
ตู้เย็น(ลบ.ฟุต)
      4.5
      5.5 
      7. 9

100 W
120 W
150 W

10
คอมพิวเตอร์
110 w

11
พัดลมตั้งพื้น 16”
50-60 W


หมายเหตุ   พลังงานไฟฟ้าที่ระบุในตารางเปลี่ยนแปลงได้ตามรุ่น/ขนาด/และยี่ห้อของอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดนั้น ๆ จะไม่เท่ากันทุกยี่ห้อและทุกรุ่นแต่โดยประมาณ ขนาดเดียวกันการใช้พลังงานใกล้เคียงกัน

จากตาราง  
          เราพอจะทราบแล้วว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดใดใช้พลังงานไฟฟ้ามากน้อยอย่างไร และชนิดไหนใช้มากใช้น้อยก็สามารถนำมาคิดหาจำนวนหน่วยไฟฟ้าได้ ดังนี้

          นำพลังงานไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดใด ๆ (Watt) คูณกับชั่วโมงระยะเวลาที่ใช้งานใน 1 วัน ก็จะได้พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปและเมื่อนำไปคูณกับจำนวนวันที่ใช้ใน 1 เดือน/ 1,000    ก็จะได้จำนวนพลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนหน่วย  ยกตัวอย่าง เช่น          เครื่องปรับอากาศขนาด 9,000 บีทียู/ชม. พิกัดกำลังไฟฟ้าที่เครื่อง 650 วัตต์ เปิดใช้งานระหว่างเวลา 20.00 น. ถึง 06.00 น. ทุกวัน การหาพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปใน 1 เดือน หาได้ ดังนี้

          650x10x30 =190000 วัตต์  ทำให้เป็นหน่วยไฟฟ้า = 190000/1000  = 190 หน่วย

(เครื่องปรับอากาศที่ออกแบบอย่างเหมาะสมกับพื้นที่ใช้งานและ มีการตั้งอุณหภูมิใช้งานที่เหมาะสมรวมทั้งระบบสมบูรณ์ มีประสิทธิภาพในการทำงาน  เครื่องจะทำงานประมาณ 2/3 จากระยะเวลาใช้งานจริง ซึ่งเท่ากับว่าเราจะเสียค่าไฟฟ้า = 650x6.67x30 = 130065 วัตต์  ทำให้เป็นหน่วยไฟฟ้า = 130,065/1,000  = 130 หน่วย  ซึ่งสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าหรือลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 60 หน่วยใน  1 เดือนและสามารถยืดอายุการใช้งานได้อีกด้วย)
 
   จะเห็นว่าเราสามารถคิดค่าไฟฟ้าด้วยตัวเองได้แล้ว คราวนี้ถ้าเราเริ่มประหยัดเราก็ต้องมาพิจารณาส่วนประกอบที่สำคัญของการใช้พลังงานอย่างประหยัด ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ส่วน ได้แก่ 

1.    การใช้งานอย่างถูกต้อง

2.    วิธีการบำรุงรักษาที่ถูกต้อง

สาเหตุที่ต้องกล่าวเรื่องใช้งานที่ถูกต้องและวิธีการบำรุงรักษาที่ถูกต้องก็เพราะว่า  การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างไม่ถูกต้องและยังไม่รู้วิธีบำรุงรักษาด้วยแล้วละก็ อุปกรณ์ไฟฟ้าก็จะใช้พลังงานสิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์แล้วเรายังเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอีกด้วย  ในชั้นนี้จะขอกล่าวถึงการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สำคัญอย่างถูกต้องและได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการแล้วว่าใช้พลังงานสิ้นเปลืองเป็นอันดับ 1  ทั้งบ้านที่อยู่อาศัยและที่สำนักงานซึ่งอุปกรณ์ที่ว่าได้แก่ เครื่องปรับอากาศหรือที่เราเรียกกันติดปากว่าแอร์นั่นแหละครับ  จากการศึกษาของกระทรวงพลังงานพบว่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปภายในสำนักงานหรือที่บ้านประมาณ 60-70 % เป็นพลังงานที่ใช้ไปกับเครื่องปรับอากาศทั้งสิ้น ประมาณ 25 % เป็นไฟฟ้าแสงสว่างที่เหลือเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ   

ดังนั้น  จึงขอนำเสนอเรื่องการใช้งานระบบเครื่องปรับอากาศและการบำรุงรักษาระบบเครื่องปรับอากาศให้กับผู้สนใจไว้พิจารณา  แต่ก่อนที่เราจะรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้งานและวิธีการบำรุงรักษาระบบเครื่องปรับอากาศเรามารู้จักส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศกันก่อนนะครับ 

 

ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศและการทำงานพอสังเขป ประกอบด้วย

ส่วนที่ทำความเย็น เรียกว่า Fan Coil Unit   ภายในก็จะประกอบด้วย ท่ออลูมิเนียมขดไปขดมา ตามขนาดของการทำความเย็นหรือที่เราเรียกว่า บีทียู มีครีบอลูมิเนียมสวมอยู่เป็นซี่ ๆ ถี่ ๆ จำนวนมากเรามักเรียกกันว่า รังผึ้ง จริง ๆ เรียกว่า Fin หรือครีบและมีพัดลมที่ใช้นำพาความเย็นไปยังจุดที่ต้องการ  รวม ๆ แล้ว เรียกว่าคอยล์เย็น

ส่วนที่ระบายความร้อนเรียกว่า Condensing Unit ก็จะมีท่ออลูมิเนียมขดไปขดมาเช่นเดียวกัน แต่จะมี Compressor เพิ่มขึ้นรวม ๆ แล้ว เรียกว่าคอยล์ร้อน ลักษณะส่วนประกอบคล้าย ๆ กับคอยล์เย็นแต่รูปทรงแตกต่างกันเนื่องจากทำหน้าที่ต่างกันนั่นเอง

น้ำยาในระบบที่ใช้ทำความเย็นใช้น้ำยา Free on  เบอร์ 22 เรียกกันสั้น ๆ ว่า R-22  มีคุณสมบัติใช้ความร้อนเป็นตัวระเหิดตัวเองให้กลายเป็นไอ

ลักษณะการทำงาน เมื่อเราเปิดระบบเครื่องปรับอากาศ คอมเพรสเซอร์จะดูดน้ำยาที่มีแรงดันต่ำอุณหภูมิต่ำมาอัดให้มีความดันสูงอุณหภูมิสูงแล้วส่งไประบายความร้อนที่คอยล์ร้อนเพื่อให้น้ำยาระบายความร้อนกลายเป็นของเหลวหรือเป็นน้ำ โดยใช้พัดลมเป็นตัวระบายความร้อนหลังจากนั้น   น้ำยาที่เป็นของเหลวจะถูกส่งไปยังคอยล์เย็นและถูกบังคับด้วยอุปกรณ์ให้ลดแรงดันลงแล้วฉีดเข้าไปในคอยล์เย็นเพื่อดูดความร้อนแฝงในคอยล์เย็นให้ระเหิดตัวเองกลายเป็นไอ คอยล์เย็นก็จะมีอุณหภูมิ ลดลง  น้ำยาที่กลายเป็นไออุณหภูมิและแรงดันก็จะลดลงด้วย น้ำยานี้ก็จะถูกคอมเพรสเซอร์ดูดไปอัดใหม่แล้วส่งไประบายความร้อนให้เป็นของเหลวอีก  เป็นอย่างนี้อย่างต่อเนื่องเป็นวัฏจักร น้ำยาก็จะ  ไม่หายไปไหนถ้าไม่เกิดการรั่วซึม  เราก็ใช้หลักการถ่ายเทความเย็นและความร้อนมาใช้งาน    คือเมื่อน้ำยาดูดความร้อนแฝงเพื่อระเหิดตัวเองให้กลายเป็นไอก็จะทิ้งความเย็นไว้ เราก็นำพัดลมมาติดตั้งบริเวณคอยล์เย็นแล้วเป่าหรือดูดลมให้ผ่านคอยล์ที่เย็นแล้วมาใช้งานในห้อง ที่ต้องการความเย็นโดยใช้เทอร์โมสตัสหรือตัววัดอุณหภูมิมาควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์  จากการถ่ายเทความเย็นและความร้อนนี่เองทำให้การใช้และบำรุงรักษาจึงมีความสำคัญในการใช้งาน กล่าวคือ ถ้าคอยล์เย็นหรือคอยล์ร้อนไม่สะอาด การถ่ายเทความเย็นและความร้อนก็จะเป็นไปได้ยากหรือได้น้อยทำให้เครื่อง ปรับอากาศทำงานนานสิ้นเปลืองพลังงาน ดังนั้น การใช้งานและการบำรุงรักษาจึงมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก
 
วิธีการใช้งานเครื่องปรับอากาศที่ถูกต้อง .

ส่วนทำความเย็น(Fan Coil Unit)

1.    ปรับอุณหภูมิการใช้งานไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส(เป็นอุณหภูมิที่กระทรวงพลังงานได้ทำการศึกษาแล้วว่าเหมาะสมกับสภาพร่างกายของคนไทยและประหยัดพลังงาน)

2.    ปรับความเร็วของลมไว้ที่ตำแหน่งสูงสุดเมื่อเปิดใช้งาน เพื่อให้การส่งความเย็นและการทำความเย็นได้เร็วทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง

3.    ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิดอย่าให้ความร้อนจากภายนอกเข้ามาภายในห้องเพราะจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานนานขึ้นสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น

4.    อย่านำสิ่งของหรือวัสดุใดตั้งขวางทิศทางลมเย็นทั้งทางเข้าและทางออกเพราะจะทำให้การกระจายความเย็นได้ไม่ทั่วถึงเป็นเหตุให้เครื่องปรับอากาศทำงานนานขึ้นสิ้นเปลืองพลังงาน

5.    อย่าทาแป้งฝุ่นในห้อง  เพราะแผ่นกรองฝุ่นของเครื่องปรับอากาศไม่สามารถจะกรองฝุ่นแป้งได้เป็นเหตุให้ตัวระบายความเย็นสกปรกและอุดตัน ลมผ่านได้น้อย  ส่วนหนึ่งจะไปเกาะติดที่ใบพัดลม  ทำให้ใบพัดลมกินลมได้น้อย เครื่องปรับอากาศทำความเย็นไม่ได้ หรือทำงานนานกว่าปกติ สิ้นเปลืองพลังงานรวมทั้งเสียค่าใช้จ่ายในการเรียกช่างมาทำการล้างบ่อยขึ้นด้วย

6.    อย่านำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปวางไว้ใต้ตัวระบายความเย็นหรือคอยล์เย็นโดยเฉพาะอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์  เนื่องจากคอยล์เย็นจะมีน้ำอยู่ตลอดเวลา หากท่อน้ำทิ้งของคอยล์เย็นอุดตันน้ำจะล้นถาด น้ำทิ้งไหลลงมาด้านล่างเป็นเหตุให้อุปกรณ์  ไฟฟ้าเสียหาย

ตัวระบายความร้อน(Condensing Unit)

1.    ห้ามน้ำสิ่งของไปตั้งบังทิศทางลมระบายความร้อนทั้งทางเข้าและทางออกของ ตัวระบายความร้อน  เนื่องจากตัวระบายความร้อนต้องนำความร้อนจากภายในห้องที่ทำความเย็นออกไปทิ้งภายนอก หากไม่สามารถนำไปทิ้งได้หมดจะทำให้ระบบการทำความเย็นลดลงไม่ได้ตามที่กำหนด เป็นเหตุให้เครื่องปรับอากาศทำงานนานขึ้น

วิธีการบำรุงรักษาระบบเครื่องปรับอากาศ(Maintenance)

การบำรุงรักษาระบบเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จากการศึกษาของส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานพบว่าเครื่องปรับอากาศติดตั้งใช้งานในสถานที่เหมือนกันทุกประการ แต่เครื่องปรับอากาศเครื่องหนึ่งที่มีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องและถูกวิธี  กับเครื่องปรับอากาศอีกเครื่องหนึ่งที่ใช้งานโดยไม่มีการบำรุงรักษาตลอดปี  พบว่าปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าแตกต่างกัน

กล่าวคือ เครื่องปรับอากาศที่มีการบำรุงรักษาประจำและต่อเนื่องอย่างถูกวิธีใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่า เครื่องที่ไม่มีการบำรุงรักษาในระยะ 1 ปี ประมาณ 20-30 %      นอกจากนี้ยังทำให้เครื่องปรับอากาศมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนั้น นอกจากเราจะใช้งานอย่างถูกวิธีแล้วเราจะต้องดูแลและบำรุงรักษาอย่างถูกวิธีอีกด้วย การดูแลบำรุงรักษาระบบเครื่องปรับอากาศอย่างถูกต้องให้ดำเนินการดังนี้
 
                              



การดูแลบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศที่สามารถปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างง่าย ๆ และประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการใช้พลังงานไฟฟ้า ทำให้เราเสียค่าไฟฟ้าน้อยลง คือ

1. ถอดแผ่นกรองอากาศที่ตัวระบายความเย็นออกไปทำความสะอาดด้วยการฉีดน้ำล้างเป็นประจำทุกเดือน



2. ใช้น้ำฉีดล้างทำความสะอาดคอยล์ร้อนเป็นประจำทุกเดือนโดยให้ฉีดบริเวณรังผึ้ง (อย่าฉีดทางด้านหน้าพัดลมเพราะน้ำอาจเข้าไปในตัวพัดลมทำให้ตัวพัดลมเสียหายได้ และควรปิดระบบไฟฟ้าก่อนเพื่อความปลอดภัยนะครับ)

การดูแลและบำรุงรักษาโดยช่างเครื่องปรับอากาศโดยตรงจะเป็นการทำความสะอาดและตรวจเช็คระบบการทำงานของเครื่องปรับอากาศทุกอุปกรณ์ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ดำเนินการในระยะเวลา 6 เดือนต่อครั้งหรือปีละครั้งตามความเหมาะสมและจำเป็นแล้วแต่การใช้งานหรือสภาพแวดล้อม เช่น เครื่องปรับอากาศใช้งานในสำนักงานทุกวันมีฝุ่นมากก็ควรให้ช่างล้างทำความสะอาดอย่างน้อย 6 เดือน/ครั้ง ถ้าเป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานภายในบ้านพักที่อยู่อาศัยไม่ค่อยมีฝุ่นมากก็อาจเป็นปีละครั้งอย่างนี้เป็นต้น  การดำเนินการโดยช่างจะต้องดำเนินการ ดังนี้

                              


1.การบำรุงรักษาคอยล์เย็นหรือตัวทำความเย็น (Fan Coil Unit)

-         ล้างทำความสะอาดใบพัดลมคอยล์เย็น

สาเหตุ  เนื่องจากใบพัดลมที่ใช้งานมานานจะมีฝุ่นเกาะติดจำนวนมากทำให้ไม่สามารถกินลมได้อย่างเต็มที่ ปริมาณลมออกมาน้อยความเย็นที่ได้จึงลดลงทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานนานขึ้น เสียค่าไฟฟ้าเพิ่ม

-         ล้างทำความสะอาดถาดและใช้ลมแรงดันสูงเป่าท่อน้ำทิ้ง

สาเหตุ  เนื่องจากถาดและท่อน้ำทิ้งเมื่อมีการใช้งานมานาน ๆ จะมีฝุ่นผงและตะกอนตกค้างจำนวนมากทำให้มีการอุดตันเป็นเหตุให้น้ำล้นถาดไหลออกมาจากเครื่องปรับอากาศทำให้อุปกรณ์ข้างเคียงเสียหาย

-         ล้างคอยล์เย็นด้วยน้ำแรงดันสูง

สาเหตุ  เนื่องจากคอยล์เย็นเป็นตัวถ่ายเทความเย็นจากท่อและฟินอลูมิเนียมให้กับลมที่พัดผ่านเมื่อใช้งานมานานจะมีฝุ่นละอองที่แผ่นกรองฝุ่นไม่สามารถกรองไว้ได้มาเกาะติดจำนวนมากทำให้ไม่สามารถระบายความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพความเย็นที่ได้จึงลดลง เป็นเหตุให้เครื่องปรับอากาศทำงานนานขึ้น เสียค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

  -         ล้างแผ่นกรองฝุ่น

สาเหตุ   เนื่องจากแผ่นกรองฝุ่นเป็นด่านแรกในการกรองเศษผงหรือฝุ่นละอองหากแผ่นกรองฝุ่นอุดตันลมก็จะไม่สามารถผ่านได้สะดวก เพราะเครื่องปรับอากาศจะกำหนดให้ลมที่ผ่านคอลย์เย็นต้องผ่านที่กรองฝุ่นก่อนผ่านคอยล์เย็น  ทุกยี่ห้อ ทำให้ความเย็นที่ได้ลดลง  หากที่กรองฝุ่นอุดตันเครื่องปรับอากาศอาจทำความเย็นได้เพียงครึ่งเดียวของพิกัดที่กำหนดหรืออาจไม่มีความเย็นเลยถ้าคอยล์เย็นเป็นน้ำแข็งเกาะซึ่งลมจะไม่สามารถผ่านได้

-         ล้างหรือเช็ดทำความสะอาดส่วนประกอบของคอยล์เย็น

สาเหตุ  เนื่องจากเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานมานานจะมีฝุ่นเกาะส่วนประกอบคอยล์เย็นมาก ฝุ่นเหล่านี้จะสะสมเชื้อราและเชื้อโรคไว้มากหากไม่ทำความสะอาดจะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นอับ ในกรณีที่คนเป็นโรคภูมิแพ้จะมีผลมาก

2.    การบำรุงรักษาคอยล์ร้อน (Condensing Unit)

-         ล้างทำความสะอาดคอยล์ร้อนด้วยน้ำ



                                

สาเหตุ  เนื่องจากน้ำยาที่คอมเพรสเซอร์อัดมาแรงดันสูงอุณหภูมิสูงจะต้องมา ระบายความร้อนเพื่อให้น้ำยาเป็นของเหลวที่คอยล์ร้อนจึงสามารถทำความเย็นได้ กรณีที่ไม่สามารถระบายความร้อนได้ เครื่องปรับอากาศก็ไม่สามารถทำความเย็นได้และเป็นอันตราย เพราะแรงดันและความร้อนที่สูงอาจเป็นสาเหตุให้ท่อน้ำยาหรือคอมเพรสเซอร์ระเบิดได้(โดยทั่วไปถ้าเป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้ลูกสูบ หรือเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่จะต้องมีระบบวงจรตัดการทำงานเมื่อแรงดันสูงเกินพิกัด เพื่อความปลอดภัยเรียกว่า ไฮ - เพรสเซอร์(Hi - Pressure) และหากน้ำยาน้อยเกินไปเครื่องปรับอากาศก็ไม่สามารถทำความเย็นได้เช่นกัน เครื่องปรับอากาศที่มีมาตรฐานจะมีระบบวงจรตัดการทำงานเมื่อน้ำยาน้อยเพื่อป้องกันคอมเพรสเซอร์เสียหายเรียกว่า โล-เพรสเซอร์(Low - Pressure)

-         ตรวจเช็คระบบน้ำยาทำความเย็น



                                
สาเหตุ  เนื่องจากระบบเครื่องปรับอากาศจะต้องมีน้ำยาที่พอเหมาะ โดยทั่วไปน้ำยาจะอยู่ที่ 68-75 Psi ที่อุณหภูมิภายนอกปกติหรือประมาณที่ 32-38 องศา C และอุณหภูมิภายในห้องประมาณ 26- 30 องศา C  เมื่อใช้เกจวัดน้ำยาสีน้ำเงินวัดจากท่อทางกลับขณะเดินเครื่องปรับอากาศอยู่ เครื่องปรับอากาศจึงจะมีประสิทธิภาพในการทำความเย็นได้ตามพิกัดของเครื่องปรับอากาศ

สรุป  สำหรับระบบเครื่องปรับอากาศที่เราใช้งานเป็นประจำจะต้องใช้งานอย่างถูกต้องและต้องดูแลและบำรุงรักษาเป็นประจำ จึงจะทำให้ผู้ใช้งานได้ประโยชน์คุ้มค่าใช้จ่ายที่เสียไป และที่สำคัญเราก็ได้ช่วยประเทศชาติประหยัดพลังงานด้วย     ครั้งต่อไปเราจะพูดถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างอื่นกันอีกนะครับ